นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร
ในฐานะรองโฆษก พท. แถลงว่า กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะแจ้งข้อหา
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
การจัดทำสัญญาว่าจ้างการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นเวลา 30 ปี
โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น
เป็นเพราะมีเหตุเกิดขึ้นจริง
และถือเป็นเพียงขั้นเริ่มต้นในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
ที่สำคัญหากผู้ว่าฯกทม.ไม่เร่งรีบต่อสัญญาให้กับเอกชน ทั้งที่ยังเหลือเวลาในสัญญาอีก
13 ปี จึงมีคำถาม 10 ข้อ ถึงผู้ว่าฯกทม.ดังนี้
1.ทำไมไม่รอให้ครบสัญญาในปี 2572 เสียก่อน
จึงค่อยพิจารณาต่อสัญญา
2.เหตุใดจึงคิดแทนผู้ว่าฯกทม.ในอนาคตอีกไม่น้อยกว่า
4 คน
3.ทำไมต้องมาต่อสัญญาในช่วงที่ผู้ว่าฯกทม.จะหมดวาระ
4.รู้ได้อย่างไรว่าอีก 13 ปีข้างหน้า ระบบรถไฟฟ้าแบบรางจะถูกลงหรือแพงขึ้น
5.ไปเซ็นสัญญาล่วงหน้าไว้
หากราคารถรางในโลกอนาคตถูกลงจะรับผิดชอบอย่างไร
6.ทำไมเป็นเอกชนรายเดิม
ทำไมไม่เปิดโอกาสให้รายอื่นประมูลบ้าง
7.ทำไมไม่เซ็นสัญญาเหมือนเมื่อตอนปี 2535 ที่
กทม.จ้างตรงกับเอกชน
8.เซ็นสัญญาครั้งนี้ ทำไม กทม.ต้องไปจ้างวิสาหกิจกรุงเทพธนาคม
ให้ไปจ้างต่อเอกชนกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี
9.ทำไมคุยว่าผู้โดยสารได้ประโยชน์
เหตุใดจึงไม่ลดราคาลงให้คน กทม.ทันที และ
10.เหตุใดเมื่อโดนตรวจสอบ
จึงต้องออกมากล่าวหาว่าเป็นการเมือง
นายจิรายุกล่าวว่า
ในฐานะผู้ร้องในคดีดังกล่าวเห็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กับนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม. ออกมาโวยวายว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจทำคดีนี้
เห็นว่าเป็นเพียงการแก้เกี้ยวและหาทางออกให้ตนเองพ้นผิดมากกว่า
"ผมร้องเรื่องนี้เพราะการเซ็นสัญญาของ
กทม.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งดีเอสไอก็ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้
ผมไม่เห็นด้วยที่ผู้บริหาร กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม (เคที)
จะออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวโต้ว่าไม่ผิด ทำถูกแล้ว
เพราะเป็นเขตปกครองพิเศษ"นายจิรายุกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น