10 QUESTIONS
เรื่อง : ณัฐนันท์ เฉลิมพนัส ภาพ : กิตตินันท์ จรรยางาม
สุหฤท สยามวาลา เมื่อพ่อมดอิเล็กทรอนิกส์ ขอมิกซ์กรุงเทพฯ
เขาคือนักร้องนำแห่งวง ‘ครับ’ วงดนตรีอินดี้ที่ดังที่สุดเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
เรื่อง : ณัฐนันท์ เฉลิมพนัส ภาพ : กิตตินันท์ จรรยางาม
สุหฤท สยามวาลา เมื่อพ่อมดอิเล็กทรอนิกส์ ขอมิกซ์กรุงเทพฯ
เขาคือนักร้องนำแห่งวง ‘ครับ’ วงดนตรีอินดี้ที่ดังที่สุดเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
เขาคือทายาทรุ่นปัจจุบัน
เจ้าของบริษัทสยามวาลา (DHAS) บริษัทเครื่องเขียนเก่าแก่ที่มีอายุกว่า
100 ปีที่มีมูลค่ามหาศาลในระดับพันล้าน !
เขาคือพรีเซ็นเตอร์โฆษณาแฟ้มตราช้าง
ที่หลายๆ คนเห็นแล้วลืมไม่ลง
เขาคือดีเจขวัญใจเด็กแนวแห่งคลื่น Fat Radio
เขาคือพ่อมดอิเล็กทรอนิกส์
ผู้บุกเบิกแนวเพลง Electronica จากเดิมที่ไม่มีคนรู้จัก
จนกลายเป็นเพลงที่ขาดไม่ได้ในยามค่ำคืน
เขาคือ สุหฤท สยามวาลา
ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่กำลังจะมาถึง
10 คำถามต่อไปนี้
คือตัวช่วยในการตัดสินใจ ว่าคุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะมีผู้ว่าฯ คนใหม่
ที่จะมาอาสา ‘มิกซ์’ จังหวะ
เปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
1 เมื่อพูดถึง ‘กรุงเทพฯ’ คุณนึกถึงดนตรีสไตล์อะไรจากมุมมองของคนดนตรีอย่างคุณ
ผมขอพูดถึงกรุงเทพฯ ที่ผมอยากเห็นแล้วกัน
ผมอยากให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองสไตล์ป๊อป เป็นป๊อปที่สวยงาม
เป็นดนตรีป๊อปที่ทุกคนเอ็นจอย (เขาพูดทับศัพท์) มีความสุขกับมัน
เป็นเมืองที่ถูกเรียงด้วยโน้ต 7 ตัวอย่างสวยงาม ที่คนสามารถกระโดดโลดเต้นได้อย่างมีความสุข
เวลาที่เราจะทำให้คนมีความสุขมันไม่ใช่เรื่องเล็ก
ความสุขคือสิ่งที่ทุกคนอยากได้เป็นอย่างแรก
แต่จะทำให้เกิดความสุขได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
นั่นแหละคือจุดสุดท้ายของการทำงานทั้งหมด แต่ทุกอย่างมันต้องเริ่มสร้าง
บางอย่างต้องสร้างเป็นสิบปี
2 ทำไมคุณตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ทั้งๆ
ที่ก่อนหน้านี้คุณปฏิเสธที่จะเล่นการเมืองมาตลอด ถึงขนาดเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘ไม่รู้จะลงให้โง่ ทำไม’ ด้วยซ้ำ
ความคิดเรื่องพวกนี้มันมีมานานเป็นสิบๆ
ปีแล้ว และผมเชื่อว่าทุกคนก็คงคล้ายๆ กัน อย่างผมก็เคยไปอยู่ที่พฤษภาทมิฬ
เคยศึกษาเรื่อง 6 ตุลาฯ 14 ตุลาฯ มันอยู่ด้วยกันมาตลอด พอมาถึงช่วงหนึ่ง
ในช่วงที่อยู่ระหว่างชายแดนของความแก่ กับคนที่ยังมีแรงอยู่
ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่เราจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
สิ่งที่เราน่าจะเปลี่ยนแปลงได้
ของผมก็จะมีความรู้สึกว่าถ้าเราอยากจะเห็นอะไรเราต้องลุกขึ้นมาทำ ก็เลยตัดสินใจว่า
ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะ อายุเราก็ 45 แล้ว
เป็นช่วงที่น่าจะโอเคที่จะลุกมาทำอะไรบางอย่างให้สังคม
ผมไม่ได้มองกรุงเทพฯ
เป็นเรื่องการเมืองอะไรนักหนา ในระดับประเทศผมคงไม่เป็นแน่ๆ ผมไม่เข้าใจ
มีพรรคร่วม จะออกนโยบายทีคนนี้ชอบ คนนี้ไม่ใช่ ไอจะทำดี คนนี้ไม่ชอบก็ทำไม่ได้
แต่กรุงเทพฯ มันไม่ได้เป็นการเมืองขนาดนั้น
ถึงแม้มันจะมีส่วนที่ผูกพันกับการเมืองอยู่บ้าง มันมีอิสระของมันอยู่ในระดับหนึ่ง
รู้สึกว่าในระดับนี้มันเหมาะกับผม แต่ถ้ามากกว่านี้ ไม่รู้แล้ว ไม่เข้าใจ
ถึงแม้จะอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ระบบ ไม่เข้าใจระบบมากกว่า
ว่าทำไมเราถึงต่ำต้อยขนาดนี้ ทำไมประชาชนถึงต่ำต้อยขนาดนี้ แต่กรุงเทพฯ
ยังอยู่ในสเกลที่รู้สึกว่าทำได้ มันมีอิสระอยู่ในระดับหนึ่งของมัน
3 อิสระที่ว่ามีจริงหรือ
ในเมื่อนโยบายต่างๆ ยังต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลอยู่ดี
น่าสงสารกรุงเทพฯ ไหมล่ะครับ มันน่าสงสารนะครับถ้าต้องเป็นอย่างนั้นไปตลอด
คุณจะเอากรุงเทพฯ มาเล่นการเมืองทำไม กรุงเทพฯ คือเมืองหลวง เมืองดันเศรษฐกิจ
เราไม่ควรอยู่ด้วยการเมืองแบบนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีความเศร้าเรื่องนี้หมด
คุณจะเหลือง แดง หรือจะมีอุดมการณ์การเมืองอย่างไรก็เป็นไปเถอะ ทุกคนมีสิทธิ์มีอุดมการณ์การเมืองของตัวเองได้
ไม่ใช่ความผิด แต่ถึงเวลา ไม่ว่าคุณจะสีไหน คุณขึ้นรถไฟฟ้าหรือเปล่า
คุณหายใจในกรุงเทพฯ เหมือนกันหรือเปล่า คุณเดินหลบร้านขายน้ำส้มในถนนสายเดียวกัน
อยู่ คุณขี่มอเตอร์ไซค์ที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเหมือนกัน เราควรมองจุดนี้ แต่ปรากฏว่าคุณไม่ได้มองกรุงเทพฯ
คุณมองแค่ที่พรรคการเมือง มันเศร้านะ มันน่าเสียดาย
แต่ถ้าเกิดผมเข้าไปได้แล้ว
ฝ่ายนี้ก็ไม่เห็นด้วย ฝ่ายนี้ก็ขัด ผมก็แค่อยากถามว่าขัดผมทำไม
ผมกำลังทำอะไรเลวร้ายให้กรุงเทพฯ หรือ
4 คิดหรือว่าจะเอาชนะผู้สมัครจาก
2 พรรคใหญ่ได้ที่ผ่านมาผู้สมัครอิสระก็ทำได้แค่สร้างสีสันให้การเลือกตั้งเท่านั้น
ถ้าผมแพ้เรื่องนโยบายผมยอมรับได้
แต่ถ้านโยบายดีกว่าแล้วยังแพ้อีก มันคงมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นอีกก็เศร้ากันเถอะครับ แต่เราเลิกไม่ได้ เราก็ต้องทำ อีก 4 ปีข้างหน้าก็ต้องมีคนออกมาอีก
เราต้องสู้ให้มันผ่านไปให้ได้ เราจะนั่งงอมือ แล้วก็คิดว่ายอมรับมันซะเถอะ
แล้วเป็นยังไง เลือกตั้งแต่ละครั้งมีคนออกไปเลือกตั้ง 54% นี่คือเมืองหลวงของประเทศนะครับ
แล้วอีก 2 ล้านคนก็นั่งอยู่เฉยๆ เหมือนเดิม แต่เราหยุดไม่ได้
อีก 4 ปีต้องมีคนใหม่มาอีก ต้องพยายามแล้วพยายามอีก
จนกระทั่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบของสังคม
5 คุณมีความศรัทธาหรือความเชื่อในอะไรบ้างหรือเปล่า
เพราะสิ่งที่คุณทำดูเหมือนจะไม่มีอยู่ในกรอบของอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเรื่องศาสนา
คุณนับถือศาสนาอิสลามที่มีข้อห้ามไม่ให้เล่นดนตรี แต่คุณก็ยังเล่นดนตรีมาตลอด
อย่างเรื่องศาสนานี่ก็มีคนเตือนมาเหมือนกันครับว่าการเล่นดนตรีอาจจะไม่เหมาะนักกับบัญญัติของศาสนา
แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนรักดนตรีมากจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าผมไม่ใช่คนชั่ว ผมไม่โกงใครก็น่าจะพอแล้ว
6 ผู้ใหญ่ส่วนมากมองว่าเด็กยุคนี้ใช้ไม่ได้
คุณอยู่กับเด็กรุ่นนี้มาตลอด ด้วยเพราะบทบาทดีเจ
และคนทำเพลงอยากรู้ว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไร
ผมไม่ได้คิดว่าเด็กในยุคนี้จะมีปัญหาอะไรมากมายนะครับ
เพราะทุกยุคก็มีปัญหาเหมือนกันหมด ยกตัวอย่างง่ายๆ พฤติกรรมหลายๆ
อย่างที่ผู้ใหญ่ชอบมองว่าเป็นปัญหาของเด็กสมัยนี้
ถ้าลองย้อนกลับไปสมัยนั้นก็มีเหมือนกัน
เพียงแต่มันอาจจะเปลี่ยนรูปแบบไปบ้างเท่านั้นเอง
อย่างผมตอนเป็นวัยรุ่นผมจะบ้าเล่นเกมเศรษฐีมาก เล่นทั้งวันไม่ทำอะไร
ทอยเต๋าเล่นอย่างเดียว พอมายุคนี้เห็นเด็กรุ่นใหม่เล่นเกม เล่นเฟซบุ๊ค
มันก็เหมือนกัน ปัญหามันอยู่ที่การบริหารเวลาซึ่งมันเป็นปัญหาในทุกยุคสมัยอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นผมเลยไม่คิดว่าการใช้ชีวิตของคนในรุ่นนี้จะเป็นปัญหาอะไร
พวกเขาก็แค่ดำเนินชีวิตหมุนไปตามความเคลื่อนไหวของโลกทั้งนั้น
แล้วการเคลื่อนไหวพวกนี้มันเกิดมาจากไหน ก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ในยุคนี้หรือ บรรดานักการตลาดเก่งๆ
คนประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ
ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้นที่เป็นคนสร้างขึ้นมาเพื่อให้เด็กๆ ใช้
แล้วเราจะไปโทษว่าเป็นเพราะเด็กอย่างเดียวได้อย่างไร
ผมว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมกับเด็กเท่าไหร่นัก
ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไป
เราก็ต้องทำความเข้าใจ ปรับตาม อย่างคำว่า ‘จุงเบย’ ห้ามพูดจุงเบยนะ
ทั้งๆ
ที่จุงเบยมันไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากการออโต้คอเล็กของแอปเปิลที่คนเห็นว่ามันตลกดี
ก็เลยเอามาพูดต่อ แล้วจะไปห้ามทำไม ภาษามันกำลังโต ผมก็เขียนนะคำนี้
จะไปด่าอะไรนักหนา เวลาภาษามันเปลี่ยน มันก็ต้องเปลี่ยน
เพราะดิจิตอลมันทำให้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยน เราก็ต้องรับกับมัน
เราควรจะสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่จะพัฒนาอะไรใหม่ๆ
ออกมา แล้วเราคอยระมัดระวังข้อมูลที่มันไม่ถูกต้อง อย่างนี้น่าจะดีกว่าหรือเปล่า ผมก็รู้สึกเอ็นจอยกับมันนะ
ไม่รู้สึกว่าทุกคนต้องกลับไปอนาล็อกเหมือนเดิมแล้ว
เมื่อก่อนต้องแบกแผ่นเสียงไปเปิดเพลง แต่เดี๋ยวนี้ก็ใช้โหลดเอา ใช้คอมพ์
ไม่ได้ใช้เทิร์นเทเบิลแล้ว แล้วเราจะไปขวางมันทำไม สนุกกับมันดีกว่า
ให้มันเปลี่ยนไปเถอะ
7 คุณเชื่อในพลังของโซเชียลมีเดียมากน้อยขนาดไหน
คุณเองก็ใช้ช่องทางนี้ในการติดต่อสื่อสารกับแฟนๆ
ตลอดเวลาไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปสำหรับคนรุ่นคุณบ้างหรือ
คุณรู้จักผมได้อย่างไร
คุณรู้ว่าผมจะลงสมัครผู้ว่าฯ ผ่านทางไหน ก็ทางนี้ไม่ใช่เหรอ
โซเชียลมีเดียมีพลังของมันอยู่ และที่สำคัญมันถูกที่สุดแล้วที่ผมจะทำได้
ไปดูตอนผมหาเสียง แล้วถ้าเจอตอนผมหาเสียง เข้ามาถ่ายรูป แล้วโพสต์ ไปแชร์
เอาไปให้พ่อแม่ดู ในเฟซบุ๊ค ในอินสตาแกรมมันถึงกันหมดแต่ต้องช่วยผม
สิ่งที่ผมกำลังจะทำคือ ผมจะไม่ทำในสิ่งที่ทุกคนเคยชิน คือมานั่งอ่านตอนรถติด
ป้ายที่อยู่บนต้นไม้ ผมไม่มี ไม่รู้จะเอาเงินจากไหน เขามีกฎเกณฑ์ยังไง
ก็เคารพตามนั้นทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งถ้ามันยังไม่ผ่านอีก
ผมก็ไม่คิดว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กจะไม่มีพลัง
มันน่าจะแปลว่านโยบายผมยังไม่ดีพอที่จะทำให้ทุกคนช่วยแชร์ ช่วยบอกต่อกันมากกว่า
ที่ผมกลัวจริงๆ คือพวกกระแสที่ว่า ‘ไม่เลือกผม เขามาแน่’ สมมุตินะ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง
ถ้าทุกคนยังกลัวเรื่องพวกนี้อยู่ ปรากฏว่าที่หาเสียงมาอะไรมาจบเลย
แค่เพราะกูไม่อยากให้ไอ้คนนี้ได้ แล้วถ้าผมเชื่ออย่างนี้แต่แรก
ผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นั่งอยู่เฉยๆ ดีกว่า
8 ในช่วงอายุ 45 ปี คุณมีวิธีรักษาความเป็น ‘วัยรุ่น’ อย่างไร ถึงขนาดมีคนบอกว่าตอนนี้คุณคือ ‘วัยรุ่นที่แก่ที่สุด’
ไปแล้ว
อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
ทุกวันนี้ผมยังฟังเพลงใหม่ๆ ทุกวัน
ผมแนะนำวัยรุ่นที่อาจจะเป็นรุ่นลูกผมได้ด้วยซ้ำว่าเพลงสมัยใหม่คืออะไร
เพราะผมไม่ได้ยึดติดกับอดีตที่ผ่านมา การเทิดทูนอดีตจะทำให้เราหยุดอยู่กับที่
เดินหน้าไปไหนต่อไม่ได้ ซึ่งนั่นแหละครับคือนิยามของคำว่าแก่สำหรับผม
เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นวัยรุ่นอยู่ตลอดเวลา
โลกวันนี้ก็ต้องเป็นวันนี้ การที่คนอายุประมาณนี้สามารถเล่นเฟซบุ๊ค เล่นทวิตเตอร์
หรือฟังเพลงใหม่ๆ ได้ ผมว่านี่แหละคือความสุขที่สุดแล้วในชีวิตคน
อดีตมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อนาคตมันจะค่อยๆ หายไปทีละน้อย
เพราะทุกวันกำลังเดินไปสู่ความตาย
แค่นี้มันก็ชัดแล้วว่าเราควรจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน
แล้วผมคิดว่าตราบใดที่ผมยังเป็นอย่างนี้อยู่ สุหฤทจะไม่มีวันแก่เลย
ผมคงจะหนุ่มไปเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกทีก็คงตายไปแล้ว
9 สิ่งที่แสดงออกผ่านสื่อต่างๆและภาพของคุณที่เรามีโอกาสเห็นในชีวิตประจำวันที่มีความ
‘บ้า ทะลึ่ง และลามก’ ต่อท้ายมาด้วยนั่นคือตัวตนที่แท้จริงของคุณหรือเปล่า
ผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะครับ
ก็ผมเป็นแบบนี้ แล้วผมไม่ลบสักรูปด้วย รูปเดียวก็ไม่ลบ
แต่ขอให้อย่าเพิ่งตัดสินผมไปก่อนถ้ายังไม่ได้ฟังความคิดของผม
คุณจะใจร้ายถึงขนาดไม่ชอบความคิดของผมเพียงเพราะผมถอดเสื้อโชว์บนเวทีอย่างนี้เชียวหรือ
ถ้าจะกลับมาที่เรื่องผู้ว่าฯ
ถ้าคุณไม่อยากได้ผู้ว่าฯ ที่เคยถอดเสื้อเล่นดนตรี ผมก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้ผมทำยังไง
ก็มันถอดเสื้อไปแล้ว ภาคดนตรีมันก็คือภาคดนตรี ผมเข้าใจ ผมรู้ ว่าอะไรมันเป็นอะไร
คุณไม่ต้องกลัว แต่ผมอาจจะใส่สูทชมพูก็ได้
10 มีอะไรอยากฝากถึงบรรดานักการเมืองที่คุณอาจจะต้องเข้าไปทำงานด้วยหรือเปล่า
ผมคิดว่าเมืองไทยกำลังจะถอยหลังไปสู่การทำสงครามแบบโบราณมาก
คือ สงคราม ‘Propaganda’ การสร้างกระแสข่าวลือ
ซึ่งมันโบราณเป็นบ้าเลยนะ (หัวเราะ) โดยเฉพาะนักการเมืองต่างๆ ผมถามหน่อยเถอะ
พวกคุณจะมาพูดว่าให้พวกเราปรองดองกันทำไม เห็นพวกเราเป็นอะไรกันหรือ
คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมาใช้ประชาชนอย่างพวกผมเป็นเครื่องมือ โบราณน่ะ เลิกไปได้แล้ว
จะปรองดองกันได้ยังไงในเมื่อพวกคุณยังทะเลาะกันอยู่เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น