วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรืองไกร แจงกลับ "ประธาน กกต. กทม." ข้าพเจ้ามีสิทธิตามกฎหมายในการร้องทุกประการ


11 กุมภาพันธ์ 2556 Bangkok Election - นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  อดีต ส.ว. ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชน  ประเด็นที่ประธาน กกต. กทม. สงสัยว่า นายเรืองไกร ไปร้อง กกต. กทม. นั้น อาศัยสิทธิอะไร โดยนายเรืองไกร ได้ชี้แจง  ดังนี้





1. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้พบการกระทำความผิดแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำที่เลือกตั้ง

2. พระราชบัญญัตินี้ มาตรา 57 บัญญัติว่า เมื่อมีการประกาศให้มีการเลือกตั้งในกรณีอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น  หรือให้งดเว้นการลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครใดด้วยวิธีการดังนี้

           (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
           (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
           (3) ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
           (4) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
           (5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย จูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด


3. ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ข้าฯ เป็นผู้พบการกระทำความผิดตามความในมาตรา 57 วรรคหนึ่ง (5) ต่อกรณีตามข้อเท็จจริงในคำร้องดังกล่าว จึงสามารถร้องมายังประธาน กกต. กทม. ได้

4. ข้าพเจ้าควรเป็นผู้มีส่วนได้เสียเพราะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ลำดับที่ 150 หน่วยเลือกตั้งที่ 34 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท ตามหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร (ผ.ถ. 10)

5. ผู้มีส่วนได้เสีย มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2544 ที่ย่อไว้ว่า โจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว จำเลยได้พูดผ่านเครื่องกระจายเสียงว่า โจทก์เป็นคนขี้โกงเอาที่สาธารณประโยชน์เป็นของตนเอง เพื่อให้ประชาชนต่อต้านการกระทำที่จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการที่โจทก์เสนอตัวต่อประชาชนให้เลือกตน เป็นการแสดงว่าตนเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต ไว้วางใจให้เข้าไปมีส่วนร่วมบริหารกิจการแทนประชาชนได้ และการเรียกร้องเอาที่สาธารณประโยชน์คืนก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนและจำเลยเองด้วย จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนทราบเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตลอดจนแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งการกระทำดังกล่าวอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ แม้ขณะจำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าว โจทก์ยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญา หากจำเลยเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์และมีมูลอันควรเชื่อ ก็เป็นการกระทำโดยสุจริตแล้ว จำเลยไม่มีความผิด

6. ต่อกรณีการยื่นหนังสือร้องของข้าพเจ้าเมื่อเช้าวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ต่อหน้าสื่อมวลชนนั้น ต่อมาในวันเดียวกันเวลาก่อนเที่ยง พนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร ได้โทรศัพท์เรียกข้าพเจ้าไปสอบถามและได้ออกใบรับคำร้องคัดค้านให้แล้ว ตามใบรับของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร เล่มที่ 1 เลขที่ 05 รับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 11.20 น. โดยให้บันทึกเพิ่มเติมในท้ายหนังสือคำร้องว่า ตามคำร้อง ข้าพเจ้ามิได้พบเห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง แต่ได้นำหลักฐานที่ปรากฏทางสื่อมวลชนและเว็บไซต์ต่าง ๆ มาร้อง ทั้งนี้ ได้ยื่นคำร้องต่อประธาน กกต. ด้วยเอกสารฉบับเดียวกัน


7. ดังนั้น ถ้าประธาน กกต. กทม. เห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ ผู้พบการกระทำความผิดตามความในมาตรา 27 วรรหนึ่ง และประธาน กกต. กทม. เห็นว่า กกต. กทม. ไม่มีหน้าที่ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ ขอให้ส่งเรื่องนี้ไปยังผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้วย ทั้งนี้ ตามความในมาตรา 135 ที่ให้ให้ถือว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น